14 ธ.ค. 2557

โรคไฟลามทุ่ง     การเกิดไฟลามทุ่งนั้น เป็นเพราะโรคติดเชื้อที่ผิวหนัง มีลักษณะเป็นผื่นแดง ลุกลามเร็ว คล้ายไฟลามทุ่ง สามารถรักษาให้หายขาดด้วยยาปฏิชีวนะที่ใช้ฆ่าเชื้อ
โรคไฟลามทุ่งชื่อที่ใช้เรียกภาษาอังกฤษ(English)
-Erysipelas, St. Anthony's Fire

โรคไฟลามทุ่ง
สาเหตุหลักเกิดจาก อะไร?
     ไฟลามทุ่งหรือ โรคนี้เป็นการอักเสบของผิวหนังชั้นหนังแท้และเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้น (upper subcutaneous tissue) รวมทั้งท่อน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียงโรคไฟลามทุ่งลักษณะและอาการของไฟลามทุ่ง
     คนส่วนมากที่เห็นนั้นมักพบผิวหนังมีการอักเสบ เป็นผื่นแดง ปวด บวม ร้อน (ใช้หลังมือคลำจะออกร้อนกว่าผิวหนังปกติ) ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการไข้ หนาวสั่น ปวดศีรษะ ร่วมด้วย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นภายใน ๔๘ ชั่วโมง หลังติดเชื้อ (มีบาดแผล)


     ระยะต่อมาก็จะมีผื่นและจะลุกลามขยายออกโดยรอบอย่างรวดเร็ว แผ่เป็นแผ่นกว้าง ขอบนูนแยกออกจากผิวหนังที่ปกติอย่างชัดเจน และมีลักษณะคล้ายผิวส้ม เมื่อกดตรงบริเวณนั้นสีจะจางลงและมีรอยบุ๋มเล็กน้อย


     และยังมีผื่นแดงที่บริเวณแผ่ลามออกไปรวดเร็วนี้ เกิดจากพิษ (exotoxin) ของเชื้อโรค ไม่ใช่จากตัวเชื้อโดยตรง แม้ว่าเชื้อจะถูกกำจัดจากการใช้ยา พิษที่ตกค้างอยู่ก็ยังคงทำให้ผื่นลุกลามต่อไป จึงได้ชื่อ “ไฟลามทุ่ง”


     สุดท้ายนี้ บริเวณที่เป็นผื่นจะยุบและค่อยๆ จางหายไป ผิวหนังอาจลอกเป็นขุย และใช้เวลา ๒-๓ สัปดาห์ กว่าผื่นจะหายสนิท โดยไม่เป็นแผลเป็นบางรายนั้นอาจจะพบรอยโรคเป็นเส้นสีแดง หรือเนื่องจากท่อน้ำเหลืองอักเสบ ก่อนที่จะพบรอยผื่นแดงที่แผ่กระจาย และอาจพบต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณใกล้เคียงบวมโตและเจ็บ


วิธีสังเกตและการแยกโรค

     ถ้าผิวหนังอักเสบเป็นรอยผื่นแดง ปวดและร้อน อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่พบบ่อยได้แก่
ถ้ามีเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ (cellulitis) มีสาเหตุและลักษณะอาการแสดงแบบเดียวกับไฟลามทุ่ง แต่กินลึกถึงเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นที่อยู่ลึกกว่า ได้แก่ชั้นไขมันด้วย ผื่นจะมีขอบไม่ชัดเจนแบบไฟลามทุ่งและอาจพบเป็นหนองหรือผิวหนังกลายเป็นเนื้อตายร่วมด้วยงูสวัด (herpes zoster) ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการเป็นผื่นแดง ปวดแสบปวดร้อนและมีตุ่มน้ำพุขึ้นเรียงเป็นแนวยาวตามแนวเส้นประสาท อาจพบที่ใบหน้า ต้นแขน ชายโครง หรือขา มักเกิดขึ้นเพียงข้างใดข้างหนึ่ง ต่อมาตุ่มจะแห้งตกสะเก็ด และทุเลาภายใน ๒-๓ สัปดาห์ อาจมีไข้ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้และอากการของคนที่เป็นลมพิษ (urticaria) ผู้ป่วยจะมีผื่นนูนแดง และคัน ไม่ปวด เกิดขึ้นฉับพลัน หลังมีอาการแพ้ เช่น แพ้อาหาร แพ้ยา แพ้ฝุ่น เป็นต้น มักไม่มีไข้ ไฟลามทุ่งและจะขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย
     และเกาต์ (gout) เพราะผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อและข้อบวมแดงร้อน มักเป็นที่ข้อหัวแม่เท้า หรือข้อเท้า เพียงข้อใดข้อหนึ่ง อาจมีไข้ร่วมด้วย มักเกิดขึ้นหลังกินเลี้ยง ดื่มสุรา หรือกินอาหารที่ให้ยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล พืชผักหน่ออ่อน ยอดผัก
การวินิจฉัย


     ทางแพทย์ส่วนมากนั้นจะวินิจฉัยโรคไฟลามทุ่งจากลักษณะอาการแสดง และการตรวจพบผื่นแดงร้อน ปวด บวม ลุกลามเร็ว มีขอบชัดเจนและในรายที่ไม่แน่ใจ นั้นอาจทำการตรวจเลือด หรือเพาะเชื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในรายที่มีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อน
วิธีการดูแลรักษาตนเองเบื้องต้น


     เบื่องต้นนั้นหากเราพบว่ามีอาการอักเสบตามบริเวณผิวหนัง คือเป็นรอยผื่นแดง ร้อน ปวด บวม ลุกลามรวดเร็ว หรือมีไข้ร่วมด้วย ควรรีบไปพบแพทย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เป็นเบาหวาน ทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น กินยาสตีรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน)
เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นไฟลามทุ่ง ควรรับการรักษาจากแพทย์อย่างจริงจัง และใช้ยาปฏิชีวนะให้ครบตามที่แพทย์แนะนำ อย่าหยุดยาเอง หรือหันไปใช้วิธีรักษาอื่นผู้ป่วยควรหยุดพักการเคลื่อนไหว และยกแขนหรือขาข้างที่เป็นให้สูงกว่าระดับหัวใจ เพื่อลดอาการปวดและบวมบางารายอาจต้องใช้ผ้ายืด (elastic bandage) พัน ตามคำแนะนำของแพทย์ไฟลามทุ่งวิธีรักษาอาการเกิดไฟลามทุ่น
     ทางแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อที่เป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อ เช่น เพนิซิลลิน อะม็อกซีซิลลิน หรืออีริโทรไมซิน นาน ๑๐-๒๐ วัน
ถ้ามีไข้หรือปวดมาก ให้พาราเซตามอลบรรเทา
ถ้าคนใดที่เป็นรุนแรง หรือสงสัยมีภาวะโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนด้วยนั้น ทางแพทย์จะรับตัวผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาลและใช้ยาปฏิชีวนะ (เช่น เพนิซิลลิน เซฟาโลสปอริน) ชนิดฉีด จนกว่าจะทุเลาจึงค่อยเปลี่ยนเป็นยาปฏิชีวนะชนิดกิน
ภาวะแทรกซ้อน


     ถ้าไฟลามทุ่งไม่ควรปล่อยไว้นาน เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ หรือได้รับการรักษาช้าเกินไป เชื้ออาจลุกลามเข้ากระแสเลือด เกิดภาวะโลหิตเป็นพิษ ซึ่งหากพบในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ อาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้


     บางรายเชื้ออาจแพร่กระจายไปที่หัวใจ (กลายเป็นเยื่อบุหัวใจอักเสบ) หรือข้อ (กลายเป็นข้ออักเสบชนิดเป็นหนอง)
และในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า ๑๐ ปี อาจกลายเป็นหน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (acute glomerulonephritis) มีอาการไข้สูง บวมทั้งตัว ปัสสาวะสีแดง คล้ายสีน้ำล้างเนื้อ


     และในร้อยละ 16-30 ของผู้ป่วยโรคนี้ หลังจากรักษาหายแล้ว อาจกำเริบซ้ำได้อีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น เบาหวาน ผู้สูงอายุ) หรือมีความผิดปกติของท่อน้ำเหลืองถ้าเป็นซ้ำบ่อยๆ อาจทำให้ท่อน้ำเหลืองถูกทำลายถาวร เกิดอาการบวมของแขนหรือขาได้
หากรีบไปให้การรับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก อาการมักจะทุเลาภายใน ๒๔-๗๒ ชั่วโมง คือไข้ลด อาการปวดหรือร้อนของผื่นลดลงส่วนผื่นอาจลุกลามต่อไป และจะค่อยๆ จางหายไปใน ๒-๓ สัปดาห์ในรายที่ได้รับการรักษาช้าเกินไป หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ ก็ยังจะเกิดภาวะแทรกซ้อนได้อีกด้วย ซึ่งอาจรุนแรงถึงเป็นอันตรายได้


วิธีป้องกันไม่ให้เป็นไฟลามทุ่ง
- ต้องระมัดระวังอย่าให้เกิดบาดแผลที่ผิวหนัง
-ถ้ามีบาดแผลเกิดขึ้น รีบล้างด้วยน้ำกับสบู่ และใช้ขี้ผึ้งที่เข้ายาปฏิชีวนะทา
-หากพบว่าผิวหนังอักเสบ เป็นผื่นแดงร้อน หรือมีลักษณะเป็นเส้นสีแดง หรือมีไข้ร่วมด้วย หรือเป็นเบาหวาน ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาแต่เนิ่นๆ

ข้อสำคัญ ต้องรีบรักษาตั้งแต่แรกหากยังปล่อยทิ้งไว้ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงเป็นอันตรายได้

ชื่อที่นิยมเรียกกันส่วนมาก
-ไฟลามทุ่ง
-เนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้นอักเสบ

     ในคนส่วนใหญ่ที่เป็นโรคนี้มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า “เบตาเฮโมโลติกสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มเอ (beta hemolytic group A streptococcus)”* ส่วนน้อยอาจเกิดจากสเตรปโตค็อกคัสกลุ่มอื่น หรือเชื้อแบคทีเรียชนิดอื่น
     หลักๆแล้วเชื้อจะสามารถเข้าได้โดยตรงคือทางบาดแผลหรือรอยแยกของผิวหนัง (เช่น แผลถูกของมีคมบาด แผลถลอก รอยแกะเกา แผลผ่าตัด) ผู้ป่วยมักมีประวัติเกิดบาดแผลที่ผิวหนังบริเวณที่จะเกิดไฟลามทุ่งมาก่อน (แต่บางคนอาจไม่มีประวัติดังกล่าวชัดเจนก็ได้)
     ส่วนมากโรคนี้จะพบเห็นมากในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกัน (เช่น ยาสตีรอยด์ ซึ่งอาจผสมอยู่ในยาชุด ยาลูกกลอน) ผู้ที่ผ่าตัดหลอดเลือดดำที่ขา (นำไปทำบายพาสหลอดเลือดหัวใจ) หรือผู้ที่มีภาวะอุดตันของหลอดเลือดหรือท่อน้ำเหลือง
---------------------------------------------------------------------------
** มีชื่อที่เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า streptococcus pyogenes ซึ่งเป็นเชื้อชนิดเดียวกันกับที่ทำให้คอหอยหรือทอนซิลอักเสบ

     ในกรณีที่เป็นการติดเชื้ออย่างรุนแรง อาจเกิดตุ่มน้ำพอง มีน้ำเหลืองเยิ้ม มักจะไม่เป็นหนองข้น (ถ้าเป็นหนองมักเกิดจากเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นลึกอักเสบ)ส่วนมากมักจะเกิดบริเวณขา อาจพบที่แก้ม รอบหู รอบตา แขน นิ้วมือ หรือนิ้วเท้าก็ได้

วิธีการดำเนินของโรคเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังชั้นตื้นอักเสบ หรือไฟลามทุ่ง
ส่วนมากไฟลามทุ่งจะเกิดบ่อยคนคนประเภทใด?
   การเกิดไฟลามทุ่งนั้นมักพบได้บ่อยในผู้คนที่มีบาดแผลหรือรอยแยกที่ผิวหนัง โดยเฉพาะในทารก เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ผู้ที่กินยาสตีรอยด์ หรือยากดภูมิคุ้มกัน ผู้ที่ผ่าตัดหลอดเลือดดำที่ขา

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

lag

English French German Spain Russian Japanese Arabic Chinese Simplified

Blog Archive

Fanpage

Popular Posts

Recent Posts

News สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

Text Widget